An Open Book-Story of My Life หน้า 2 คืนวันอันเปลี่ยวร้าง ภาคที่หนึ่ง
ทนง ตันชวลิต ทนง ตันชวลิต
372 subscribers
17 views
2

 Published On Oct 8, 2024

An Open Book-Story of My Life
หน้า 2 คืนวันอันเปลี่ยวร้าง ภาคที่หนึ่ง

ผมกลับมาอ่านมัน ถึงได้เข้าใจตัวเอง
มันเป็นตัวแทนความรู้สึกของผมในห้วงเวลานั้นได้ดีที่สุด
ห้วงเวลาแห่งการ ลาออก
มันยาวไป ผมจะตัดออกเป็นสองภาค

ภาคที่หนึ่ง
คืนวันอันโดดเดี่ยวเปลี่ยวร้าง ซ้ำซาก จำเจ ผมสับสน บางอย่างที่ผ่านมาแล้วก็ได้แต่เห็นมันผ่านไป ให้เข็มวินาทีเคลื่อนที่ออกจากจุดเดิมของมัน พรากเวลาไปอย่างเชื่องช้า และเลือดเย็น ช่วงที่เวลาดูเหมือนไม่มีค่า ทุกอย่างสูญหายไปกับกาลเวลา แต่บางอย่างกลับหวนคืน เรื่องเก่ากลับมา ส่วนอนาคตอาจเป็นเรื่องที่ไม่เคยคิดฝัน บางครั้งชีวิตคนก็เป็นเช่นนี้ อยู่เพื่อเรียนรู้เรื่องราวของอดีต เรื่องที่ยากต่อการแก้ไข ตั้งคำถาม และสุดท้ายก็ยอมแพ้ต่อคำถามที่เราตั้งขึ้นมาเอง บางทีความเข้าใจเรื่องราวที่ผ่านเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้มันผ่านพ้น ผมยืนอยู่ตรงจุดนั้น
ทุกๆวันเหมือนกันจนแยกไม่ออก กิจกรรมวนเวียน ซ้ำซาก เมื่อคุณยืนอยู่จุดเดียวกับผมแล้ว บางทีคุณอาจสามารถทราบได้ ทุกวันเหมือนกัน ไม่ว่า วันจันทร์ พุทธ หรือว่า วันศุกร์ แทบไม่ต่างกัน หากคุณจะรู้ ก็จากปากของคนอื่น ไม่ใช่รู้ได้ด้วยตัวเอง ดังเช่นกาลเวลาในแต่ละวันของผม เช้า สาย บ่าย เที่ยง ผมแยกมันออกจากกันโดยการลาจากของตะวัน หรือไม่ก็การลาจากของดวงจันทร์ พูดให้ชัดๆคือ แยกเวลาได้จาก ความมืด-สว่าง ของท้องฟ้า จุดที่ผมยืนอยู่ตรงนั้น ไร้อุณหภูมิ ยากต่อการมีอารมณ์ขัน ทุกอย่างดูสูญเปล่า ไร้ความหมาย ไร้แก่นสารใดๆ เรื่องน่ารักหายไปหมดในชีวิต ชนิดที่ หนังสือแนวให้กำลังใจจากสุดยอดนักเขียน ก็ไม่สามารถฟื้นเรี่ยวแรงกำลังใจผมได้ ผมจมอยู่กับความหลัง ไม่มีสิ่งใดสะกิดผมให้ตื่นจากภวังค์ได้ ผมรู้สึกเหงาจนไม่อาจบรรยายเป็นตัวอักษรได้ ไม่ใช่เพราะว่า มันยากเย็นแสนเข็ญอะไร แต่เพียงเพราะว่า บางครั้งเราต้องทำความเข้าใจกับบางสิ่ง แม้เราทำดีเท่าไรมันก็ไม่พอ
ผมนั่งทบทวนเรื่องต่างๆ ย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องที่ไม่สามารถปะติดปะต่อเป็นเรื่องราว หรือไม่แม้กระทั่งสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจได้
ลาออกจากงานเดินทางไปในทิศที่ตัวเองไม่เคยไป คาดหวังไว้ว่า จะมีอะไรสักอย่างในความไม่รู้อันนั้น ใช่ ผมตามหาอะไรบางอย่าง หรือไม่แล้ว ผมก็คงกำลังเดินหนีอะไรบางอย่าง ผมทบทวนและสรุปในสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต ใช่แล้ว... ผมเดินหนีมา ไม่ใช่เดินตามหาอะไรทั้งนั้น อยู่ต่อไป ผมก็ละอายแก่ใจเกินกว่าที่จะอยู่ ทำต่อไปก็ละอายแก่ใจเกินกว่าที่จะใช้ชีวิตแบบนั้น ถ้าคิดในแง่ดี มันเป็นเรื่องที่ดี แค่เดินจากมาก็ถึงจุดหมายแล้ว แต่ในความเป็นจริง มันไม่ง่ายอย่างนั้น
มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานที่รู้เพียงจุดเริ่มต้น หากไม่รู้ว่า ปลายทางคือ ที่ใด ความวังเวง ความสงัดเงียบ ความโดดเดียว ความเปล่าเปลี่ยว คือ สิ่งที่สัมผัสได้ตลอดช่วงเวลานั้น ทุกก้าวที่ผมเดินผ่าน มีแต่คนแปลกหน้า ผมเพียงเผอิญหลงทางผ่านเข้ามา การเดินทางยังคงต่อเนื่องเรื่อยไป และอารมณ์ของผู้เดินทางก็ดูยิ่งไม่ปกติมากขึ้นทุกที เป็นไปได้ว่า จุดหมายของการเดินทางในครั้งนี้ เป็นเพียงความว่างเปล่า หรือความสูญสิ้น จบลงด้วยความพ่ายแพ้และล้มตายของผู้เดินทาง หมดสิ้นความฝันของการเดินทางภายใต้ดวงดาวนับหมื่นล้านดวง เสียงนกและแมลงนับร้อยนับพันภายใต้ดวงตะวันในเวลากลางวัน ท้องฟ้าที่สดใส แสงแดดที่สาดส่องมากลางป่า ลำธารหมื่นล้านสายภายใต้ภูผา เมฆขาวราวปุยฝ้ายกระจัดกระจายเต็มฟ้าสีฟ้า ท้องทะเลและเกลียวคลื่น
ผมเฝ้าครุ่นคิดวนเวียนอยู่อย่างนี่ นานไปคล้ายผมเป็นพวกฝักใฝ่ในมุมมองของตัวเอง ไม่ต้องการสิ่งใด ไร้ความคาดหวัง ปล่อยให้เข็มของนาฬิกาหมุนไป ไม่เรียกร้องจากมัน ไม่เห็นคุณค่าของเวลาที่สูญเสียไป ความเคลื่อนไหวในความเงียบเป็นไปอย่างเชื่องช้า
ผมซึมเซาไปกับวันคืนที่ผ่านไปอย่างไร้จุดหมาย ความสนุกเลือนหายไปพร้อมกับวันเวลา ความเกียจคร้านครอบงำผม ห้องที่อาศัยหลับนอนหาได้ทำให้เชื่อว่า เป็นที่ที่เราควรอยู่ บรรยากาศช่างวังเวงและเงียบเหงา ความมืดเข้าปกคลุมจิตใจถ้วนทั่ว ผมปล่อยให้มันเข้ามาและทำสิ่งที่มันอยากจะทำ ไม่มีการต่อสู้หรือขัดขืนแต่ประการใด คล้ายว่า จะยอมแพ้ หรือถ้าหาคำพูดที่ดูดีหน่อยคือ การยอมรับโดยดุษฎี หลายสิ่งในชีวิตที่ผ่านเข้ามาสอนผมให้รู้ว่า บางอย่างไม่จำเป็นต้องหาเหตุผล
ชีวิตของคนเริ่มต้นจากวินาทีปัจจุบันเสมอ อดีตเป็นเพียงสิ่งยินยันความมีตัวตน เป็นเพียงเรื่องราวที่เราได้ผ่านมาแล้ว หาได้ประสบอยู่ไม่ หากอดีตของผมเลวร้าย ผมควรจะดีใจ เพราะแสดงว่า ผมได้ผ่านมันมาแล้ว หาใช่ได้เผชิญอยู่ในปัจจุบัน แต่กรรมของมนุษย์ก็คือ จดจำ ความทุกข์ ได้มากว่า ความสุข ความสุขมักอยู่กับเราไม่นาน แต่ความทุกข์หาเป็นเช่นนั้นไม่ ผมอาจจะอยู่คนเดียวมากเกินไป บางทีผมอาจจะคิดมากเกินไป ความจริงหลายอย่างบอกผมว่า การยอมรับในสิ่งที่เผชิญอยู่เป็นเรื่องใหญ่มากกว่าการสูญเสีย หากเราเข้าใจว่าเราได้เสียมันไปแล้ว การให้อภัย คือการปลดปล่อย
สำหรับคนอื่นอาจจะถือกฎข้อนี้ในการดำเนินชีวิต แต่ผมไม่แน่ใจว่า ผมจะสามารถให้สิ่งนี้กับตัวเองไหมในการใช้ชีวิตที่ล่วงเลยมาของผม “อภัยให้ตัวเอง” แต่เมื่อต้องอยู่คนเดียว เรามักจะเข้าใจ และให้อภัยตัวเองได้ดีกว่ายามที่เราต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น ทฤษฎีกล่าวไว้เช่นนั้น ถึงแม้มันจะไม่ถูกต้องหรือใช้ได้กับทุกกรณีก็ตาม

นงชลิต
9/10/67/6.18

show more

Share/Embed