วันที่ 25 ธันวาคม 2562 ณ ที่ประชุมสภา ณัฐพล สืบศักดิ์วงศ์ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ อภิปรายในญัตติด่วน เรื่อง “ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแก้ปัญหาการใช้กัญชา กัญชง กระท่อม อย่างเป็นระบบครบวงจร”

ณัฐพลกล่าวเป็นการเริ่มต้นโดยอิงถึงเสื้อชาติพันธุ์ที่ตนใส่เมื่อครั้งแรกที่ประชุมสภา ณ อาคารของทีโอที ปรากฏว่า มีเสียงตอบรับอย่างหนาหูทั้งบวกและลบ วันนี้ใส่อีกครั้งและจะมาทำความเข้าใจให้ทั้งสภาทราบว่า เสื้อหลากสีนี้ เป็นการ “บอกบุญ” เป็นการทำให้เศรษฐกิจไทยก้าวหน้าและมีรายได้หลายหมื่นล้านเข้าประเทศ

กัญชงไม่ใช่กัญชา กัญชงคือ พืชที่ชาติพันธุ์ม้งปลูกกันมายาวนานและเป็นที่รู้จักกันดี เสื้อที่ใส่มีส่วนประกอบจากกัญชง ตามภาษาม้งเรียกกันว่า “มั่ง” หรือ “ม่า” ไม่เคยมีการนำมาใช้เป็นสารเสพติดแต่อย่างใดตั้งแต่จำความได้ คนม้งมองและเปรียบพืชชนิดนี้เสมือนเจ้าหญิง มีความใสบริสุทธิ์ เปรียบเสมือนปัจจัย 4 เป็นเครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค แต่แล้ววันหนึ่ง เจ้าหญิงถูกทำให้แปดเปื้อนด้วยการบอกว่าเป็นพืชใช้สร้างสารเสพติดประเภทที่ 5

ณัฐพลย้ำว่า กัญชงมิได้เป็นพืชเศรษฐกิจมาแต่ไหนแต่ไร เพิ่งจะมีการศึกษาเมื่อสิบปีที่แล้วนี้เอง กัญชงเป็นถึงพืชวัฒนธรรม เป็นจิตวิญญาณของชาวม้งตั้งแต่เกิด มาทำสายสิญจน์ผูกข้อมือ เสื้อผ้ารองเท้าทั้งหมดต้องทำจากเส้นเชือกด้ายกัญชง

การใช้กฎหมายมากำหนดให้พืชชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์อเนกอนันต์ เป็นพืชเศรษฐกิจ แต่รัฐกลับไปสร้างไม่เท่าเทียมขึ้น ทำให้มันเป็นพืชผิดกฎหมาย ทุกวันนี้ถ้าจะปลูกต้องได้รับอนุญาต เมล็ดพันธุ์กว่า 28 ชนิด ถูกบังคับให้เหลือใช้แค่ 4 สายพันธุ์เท่านั้น เป็นการลิดรอนสิทธิ์โดยข้อกฎหมาย โดยมลทินที่รัฐหรือเจ้าหน้าที่ส่วนกลางที่ไม่มีความเข้าใจในวัฒนธรรม ในพืชที่เป็นจิตวิญญาณของเรา มาสร้างความแปดเปื้อนใส่เจ้าหญิงของเรา

ณัฐพลเผยว่า ถือเป็นโอกาสดีที่ได้มาพูดคุยกันเรื่อง กัญชา กัญชง และใบกระท่อม ตนต้องการสนับสนุนว่า กัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจที่ไม่ควรมองข้าม ทุกวันนี้รัฐมองกลุ่มชาติพันธุ์ว่าเป็นผู้ที่ทำไร่แบบเชิงเดี่ยว แต่หารู้ไม่ว่ากัญขงตัวนี้ที่ศึกษามาแล้วในต่างประเทศนำมาสร้างส่วนประกอบของเครื่องบินที่แข็งแกร่งทนทานกว่าเหล็ก หรือแม้แต่เป็นเกราะกันกระสุนที่ทนทานก็กระทำได้

“ผมอยากฝากหน่วยงานที่ศึกษาและทุกท่านที่มีเกียรติในที่นี้ว่า ถึงเวลาแล้วครับ ที่เราจะมาปลดล็อควิถีชีวิตของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริง ไม่ใช่ออกกฎหมายมาเป็นตัวปัญหาสร้างความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย หลายปัญหาที่ยังมีอยู่และส่งผลกระทบต่อพี่น้องขาติพันธุ์ ไม่ว่าป่าไม้ วิถีชีวิตที่อยู่บนดอย ถูกล็อคด้วยข้อกฎหมาย จะเป็นประตูแรกครับ ถ้าเราปลดล็อคและมาศึกษากัญชงให้ เป็นประตูแรกที่จะสร้างความเข้าใจ และทำให้เศรษฐกิจไทยเท่าทันโลก”