"ในบันทึกประวัติศาสตร์ของมนุษย์ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในด้านวิศวกรรมและความอุตสาหะ ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงความเฉลียวฉลาดและความมุ่งมั่นของอารยธรรม - กำแพงเมืองจีน โครงสร้างขนาดมหึมานี้ทอดยาวกว่า 13,000 ไมล์ข้ามพรมแดนทางตอนเหนือของประเทศจีน และยืนหยัดผ่านการทดสอบ กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ยั่งยืนของมรดกอันยาวนานและมรดกทางวัฒนธรรมของจีน"


"ต้นกำเนิดของกำแพงเมืองจีนมีอายุย้อนกลับไปกว่าสองพันปี จนถึงช่วงที่สับสนอลหม่านของรัฐที่ทำสงครามกันของจีน เมื่อเผชิญกับภัยคุกคามจากการรุกรานจากชนเผ่าเร่ร่อนทางตอนเหนืออย่างต่อเนื่อง ราชวงศ์จีนที่สืบทอดต่อกันจึงเริ่มสร้างป้อมปราการตามแนวชายแดนทางตอนเหนือเพื่อปกป้องดินแดนและผู้คนของพวกเขา ”


"ในช่วงราชวงศ์ฉินในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตศักราช จักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ได้ริเริ่มการก่อสร้างกำแพงขนาดใหญ่ครั้งแรก โดยเชื่อมโยงป้อมปราการที่มีอยู่เข้ากับระบบการป้องกันแบบครบวงจร การจุติมาเกิดในยุคแรกนี้วางรากฐานสำหรับสิ่งที่ต่อมากลายเป็นที่รู้จักในชื่อมหาราช กำแพง."


ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา กำแพงเมืองจีนได้รับการพัฒนาและขยายออกไปภายใต้ราชวงศ์ต่างๆ โดยแต่ละราชวงศ์ได้เพิ่มป้อมปราการและการปรับปรุงของตัวเอง ส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุด เช่น ที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง มีชื่อเสียงในด้านหอสังเกตการณ์ที่ตั้งตระหง่าน งานก่ออิฐที่สลับซับซ้อน และการวางตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ บนยอดเขาอันขรุขระ"


"นอกเหนือจากหน้าที่ทางทหารแล้ว กำแพงเมืองจีนยังทำหน้าที่เป็นช่องทางสำคัญในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม อำนวยความสะดวกทางการค้า และส่งเสริมการสื่อสารระหว่างจีนและประเทศเพื่อนบ้าน มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคีและความแข็งแกร่ง เป็นสัญญาณแห่งอารยธรรมจีนที่ทอดยาวไปทั่วพื้นที่อันกว้างใหญ่ของ ชายแดนทางตอนเหนือ”


"ทุกวันนี้ กำแพงเมืองจีนตั้งตระหง่านเป็นสถานที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงจิตวิญญาณที่ยืนหยัดของชาวจีนและความสำเร็จอันน่าทึ่งของพวกเขาตลอดประวัติศาสตร์ ในขณะที่ผู้มาเยือนจากทั่วโลกสำรวจเส้นทางโบราณและครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องราวของกำแพงเมืองจีน ในอดีต พวกเขาได้รับการเตือนถึงภูมิปัญญาเหนือกาลเวลาที่ว่า 'ผู้ที่ไม่เคยไปกำแพงเมืองจีนนั้นไม่ใช่คนที่แท้จริง' แท้จริงแล้ว กำแพงเมืองจีนยืนหยัดในฐานะสัญลักษณ์ของความยืดหยุ่นของมนุษย์และการแสวงหาความยิ่งใหญ่ที่ยั่งยืน"